เทศน์บนศาลา

ธรรมนอกธรรมใน

๕ ส.ค. ๒๕๔๘

 

ธรรมนอกธรรมใน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๔๘
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฤดูกาลมันเปลี่ยนไปตลอดนะ แต่หัวใจเราล่ะ หัวใจเราโดนมรสุม ความเป็นไปของโลกมันพัดไปตลอด ถ้ามันพัดเราไป เราก็ไปตามกระแสโลกนะ เวลาเกิดขึ้นมานี่มีปัจจุบัน ทุกคนคิดว่ามีปัจจุบันนี้ แต่ถ้าคนมีบุญเกิดมา มันจะมีความสุข ความสุขนะ ความสุขในความเป็นไปของโลก แต่หัวใจไม่มีสุข หัวใจก็ว้าเหว่

ในสโมสรสันนิบาต ขณะที่มีการสโมสรกันอยู่แต่ทุกดวงใจว้าเหว่นะ ดวงใจว้าเหว่ที่ไหนล่ะ? ว้าเหว่ที่ความรู้สึกไง แต่ขณะที่อารมณ์ ขณะที่มีความสนุกสนานนี่สิ่งนี้มันสัมพันธ์ แต่หัวใจที่ว้าเหว่มันลึกกว่านั้น ลึกกว่านั้นเพราะอะไร เพราะสิ่งนั้นเป็นตัวพลังงาน ตัวใจไง สิ่งที่เป็นตัวใจตัวนี้ต่างหากตัวที่พาเกิด

สิ่งที่พาเกิด ปฏิสนธิจิต อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ วิญญาณตัวนี้ วิญญาณปฏิสนธิ ขณะวิญญาณปฏิสนธิ เวลาไปเกิดไปตาย สิ่งนี้ไปเกิดไปตายเพราะมันเป็นเมล็ดพันธุ์ เมล็ดพันธุ์สิ่งที่เป็นเกสรไปผสมแล้วมันก็จะเกิดอีก นี้เป็นเรื่องของพันธุ์พืชนะ แต่หัวใจเป็นนามธรรมนะ เราไปเกิดในครรภ์ของมารดา เกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดเป็นโอปาติกะคือเกิดเป็น เทวดา อินทร์ พรหม โอปาติกะเกิดก็โตเลย ไม่ได้เกิดเป็นเด็กแล้วต้องมาเลี้ยงดูกันจนกว่าจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา แล้วชราคร่ำคร่าก็ตายไป

ขณะที่เป็นโอปาติกะ สิ่งที่เกิดในน้ำครำ สัตว์ที่มันเกิดในน้ำครำ สิ่งนั้นมันก็เกิดของมัน เห็นไหม นี่ปฏิสนธิจิตตัวนี้ เห็นไหม พาเกิดพาตาย เราถึงไม่รู้ต้นรู้ปลายไง รู้ต้นรู้ปลายว่าเราเกิด เราเกิดมาจากไหน สิ่งที่ว่าเราเกิดมาจากไหน พลังงานตัวนี้มันเป็นพลังงานตัวที่หงอยเหงาเศร้าสร้อยอยู่ในหัวใจ สิ่งนี้มันปกคลุมด้วยอาการของใจคือความรู้สึก ความคิดเรานี่ไง

ความรู้สึก ความคิดของเรานี่เกิดมามีความสุข ก็สุขเฉพาะแต่เรื่องของเปลือกๆ แต่หัวใจว้าเหว่ ทุกข์นะ ทุกข์ทั้งข้างนอกทุกข์ทั้งข้างในนะ ข้างในก็ทุกข์ข้างนอกก็ทุกข์ นี่เวลากรรมพาเกิดในสถานะชาติหนึ่งภพหนึ่ง เวลากรรมพาเกิด บุญพาเกิดก็ประสบความสุขทางโลกไง แต่ทุกดวงใจว้าเหว่ จนกว่าถึงที่สุด เห็นไหม ถึงที่สุดว่าเราเกิดเป็นมนุษย์ สิ่งที่เกิดเป็นมนุษย์

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เกิดนี้แสนยาก สิ่งที่แสนยากนี่แล้วเวลาเราคิดทางวิทยาศาสตร์กัน เมื่อก่อนนั้นเมืองไทยมีมนุษย์อยู่สิบหกล้านคน เดี๋ยวนี้มีถึงหกสิบกว่าล้านคน นี้มนุษย์มาจากไหน สิ่งที่มาจากไหน ถ้าเราไม่มีการคุมกำเนิด จะมีมากกว่านี้นะ เพราะอะไร เพราะจิตมันแสวงหาที่เกิด สิ่งแสวงหาที่เกิดมันพยายามจะหาที่เกิด แต่สิ่งที่จะเกิดไปอยู่ที่กาลเวลาไง อยู่ที่สภาวกรรมไง

สิ่งที่เป็นสภาวกรรมนะ นี่กาลเวลาของเรา หนึ่งชีวิตร้อยปี ประมาณนั้นหรือต่ำกว่านั้น แต่ชีวิตของสัตว์เขาสั้นกว่าเรา เห็นไหม ชีวิตของสิ่งต่างๆ เขาสั้นกว่าเรา สิ่งนี้มันเวียนไปไง เวลามันหมุนไป เห็นไหม ถึงว่าเวลาคราวที่หมุนออกไปอย่างนี้ นี้วัฏฏะหมุนออกไปแล้วเราหมุนไปเกิดมาท่ามกลาง ประเทศชาติสิ่งที่มั่นคง สิ่งนี้พาให้เรามีที่ แม้แต่บ้านเรือน แม้แต่สังคมทำให้เรามีความเป็นสุข

แม้แต่ในชีวิต เห็นไหม ในชีวิตนี้ต้องอาศัยธรรมะ สิ่งที่อาศัยธรรมะชีวิตนี้มันคืออะไร? ชีวิตนี้คือตัวหัวใจ ร่างกายนี่มันเป็นธาตุเฉยๆ ที่มันมีชีวิตอยู่มันก็ครองกันไป นี่สิ่งนี้อาศัยอยู่ภายนอก แต่ชีวิตนี้ต้องอาศัยธรรมะ แล้วเราเกิดท่ามกลางพระพุทธศาสนาเจริญมาก กึ่งพุทธกาลนะ ศาสนานี้เจริญอีกหนหนึ่ง อยู่ในคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พยากรณ์ว่ากึ่งพุทธกาล ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งแล้วก็จะร่วงโรยไป ร่วงโรยไปในความเชื่อความศรัทธา

ดูสิ ความเชื่อความศรัทธาของเรา เราขนาดว่าเรามีความเชื่อมั่นนะ เรามีความเชื่อในศาสนา แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราออกประพฤติปฏิบัติเพื่อให้มีความร่มเย็นเป็นสุขจากภายในไง เพื่อจะไม่ให้...

แม้แต่ในสโมสรสันติบาต เขาออกไปนั้น เขาก็ว้าเหว่ เราออกในที่สงบสงัดไงเพื่อจะหาตัวตนของเรา เราก็ออกสิ่งที่สงบสงัด เห็นไหม ออกวิเวก สิ่งที่วิเวก ต้องกายวิเวกก่อนแล้วก็หาจิตวิเวก สิ่งที่เป็นวิเวกนะ การปฏิบัตินี่ธรรมะจากภายนอก ถ้าธรรมะจากภายนอกนะ สิ่งที่เป็นภายนอกทั้งหมด

เวลาศาสนาเจริญรุ่งเรือง เราก็ศึกษาธรรมะกัน ศึกษามาเป็นความรู้ พอความรู้นี่ เราไม่กล่าววาจาส่อเสียด เราต้องมีจริตนิสัยที่ให้สงบเสงี่ยม เห็นไหม สิ่งนี้เป็นเรื่องของภายนอกทั้งหมดนะ สิ่งที่ภายนอก สิ่งที่เป็นธรรมะภายนอก ทำให้สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข แต่หัวใจล่ะ ถ้าหัวใจจากภายในล่ะ ธรรมะภายในลึกซึ้งกว่านี้มาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ นั้นล่ะธรรมะภายนอก ธรรมภายนอกไง

ธรรมภายนอกคือธรรมนอกจากใจ นอกจากใจแล้วเกิดที่ไหน ในเมื่อเป็นธรรม เกิดจากหัวใจนี่แต่เกิดจากจิตนี้ส่งออกไปรับรู้ไง แม้แต่ฤๅษีชีไพรเขาเหาะเหินเดินฟ้าได้นะ เขาแปลงกายก็ได้ เขาทำสิ่งใดก็ได้

ดูสิ ดูในหนังสารคดีที่พวกโยคีประพฤติปฏิบัติกัน เราไปตื่นเต้นกับเขามากนะว่าเขามีพลังจิต พลังจิตอย่างนั้นเป็นพลังจิต นี่พลังจิตเวลาพิสูจน์กัน สิ่งที่เคลื่อนที่ ที่เร็วที่สุดคือความรู้สึกแล้วเราเอาสิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดให้หยุดนิ่งได้ มันจะมีพลังงานมหาศาลเลย

แต่พลังงานของเขาใช้ไหม ใช้แต่ภายนอกไง ภายนอก เห็นไหม ใช้สะกดจิต ใช้พลังงานนี้เพ่งสิ่งต่างๆ ให้สิ่งนั้นเปลี่ยนรูปร่างไป นั้นเป็นการส่งออกหมดเลย สิ่งนี้เป็นธรรมะภายนอกแล้วเราก็ไปตื่นเต้นนะ น่าสลดสังเวช สลดสังเวชที่ว่าเราเป็นชาวพุทธ “พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” มันตื่นที่ไหน มันไม่ตื่นเลยมันหลับใหล ถึงกับเห็นอาการจากภายนอกก็ไปตื่นเต้นกับเขาไง

แต่ถ้าเราเป็นชาวพุทธ พุทธะคือปัญญา ความรู้จากภายใน ความรู้จากภายในอยู่ที่ไหนล่ะ? อยู่ที่ในหัวใจของเรา เพียงแต่เราเป็นชาวพุทธแต่การเสกสรรปั้นยอไง เราไม่ได้ศึกษา เราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติจนเข้ามาเห็นความจริงจากภายใน ถ้าเราเห็นความจริงจากภายในนะ ธรรมะภายในไง ถ้าธรรมะภายในอาการจะต่างกับข้างนอกเป็นคนละเรื่องเลย เห็นไหม ถึงว่าเรื่องโลกกับธรรมไง

เรื่องของโลก ความเป็นไปภาษาโลก โลกเป็นวัตถุ โลกเป็นสิ่งที่เป็นการกระทำการเกื้อกูลกันทางโลก สิ่งที่เป็นทางโลกต้องอาศัยจุนเจือกัน โลกเกิดมาแล้วต้องอาศัยจุนเจือกันไปตลอด สังคมสภาวะต้องพึ่งพาอาศัยกัน มนุษย์เป็นสัตว์สังคม อยู่คนเดียวก็กลัว อยู่ด้วยกันมากก็เอารัดเอาเปรียบกัน

แต่เวลาไปออกวิเวก เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เราออกวิเวกเพื่อความสงัดของเรา ความสงัด เห็นไหม สิ่งที่ใจมันสงัดนั้นก็อาการของใจ สิ่งที่อาการของใจถ้าเราทำความสงบของใจเราเข้ามา สิ่งที่ทำความสงบของใจเข้ามา ความคิดต่างๆ นั้นเป็นอาการของใจทั้งหมด สิ่งที่เป็นอาการของใจถ้ามันสงบมาขนาดไหน เห็นไหม จิตนี้อาจเห็นภาพต่างๆ ได้นะ สิ่งที่เห็นภาพต่างๆ

เวลาพระบวชใหม่ เวลาในวิสุทธิมรรค ให้ไปเที่ยวป่าช้า สิ่งที่ไปเที่ยวป่าช้าก็ไปดูไง ไปดูซากศพจากภายนอก เห็นไหม ซากศพจากภายนอกก็เหมือนกายนอก สิ่งที่เป็นกายนอกเหมือนกับเราไปดูแลคนป่วย คนป่วยไม่ใช่เรานะ เราไปดูแลคนป่วย เราก็พึ่งพาอาศัยไปช่วยคนป่วย เราดูแลเขา เราอุปัฏฐากเขานี้ สิ่งนี้มันเป็นบุญกุศล มันเป็นการได้น้ำใจต่อกัน สิ่งที่น้ำใจต่อกัน เห็นไหม กลับถ้าเราป่วยเองล่ะ ถ้าเราป่วยนะ ความเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่กับเรา ความรู้สึกต่างๆ นี้อยู่กับเรา ความสะเทือนใจก็อยู่กับเรา เวลายิ่งเป็นโรคที่ร้ายแรง เห็นไหม มันจะมีความสะเทือนใจมาก นี่ถ้าเราเป็นคนป่วย เห็นไหม กายนอก

กายนอกคือเราไปดูอสุภะ-อสุภัง สิ่งนี้เป็นกายนอกนะ สิ่งที่เป็นกายในล่ะ สิ่งที่เป็นกายในเหมือนกับเราป่วยมันถึงจะเข้าไปสะเทือนหัวใจนะ นี่ธรรมะจากภายนอกเป็นอย่างหนึ่ง ถ้าเราพิจารณากายของเราเข้ามานะ เราเห็นสภาวะกายของเรา ถ้าเห็นสภาวะกายของเรา สิ่งที่เห็นสภาวะกายกับสิ่งที่ส่งออกไปจากภายนอก เห็นจิตวิญญาณนะ

การเห็นจิต เห็นวิญญาณ เวลาจิตสงบเห็นนิมิตเป็นอันหนึ่ง ถ้าเห็นผี เห็นเปรตนะ นี่ธรรมะภายนอกทั้งหมดเลย เวลาส่งออกไปข้างนอกไปเห็นผีเห็นเปรต เราจะไปกลัวสิ่งต่างๆ เห็นไหม สิ่งที่เราไปกลัวสิ่งต่างๆ นั้น เราไปคิดไงว่าการเห็นกายกับการเห็นภูตผีปีศาจเป็นอันเดียวกันไง

การเห็นภูตผีปีศาจมันเป็นจิตนะเหมือนกับเราไปอุปัฏฐากคนไข้น่ะ เราไปดูแลคนไข้นะ จิตวิญญาณไงไม่ใช่เรา คนไข้ไม่ใช่เรานะ เราไปดูแลคนไข้ คนไข้กับเราคนละคน เห็นไหม สิ่งที่คนไข้กับเราคนละคน นี่เวลาเราเห็นผีเห็นเปรตก็เหมือนกัน จิตวิญญาณนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของธรรมะเลย มันไปเกี่ยวกับเรื่องฤๅษีชีไพร เขาทำของเขาได้ เห็นไหม สิ่งนี้เป็นเรื่องภายนอกนะ

แต่ถ้ามันสงบเข้ามา จิตนี้สงบเข้ามาแล้วพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถ้ามันเห็นกายในของมัน เห็นกายในนะ ต้องมีความสงบก่อน เห็นกายใน เห็นไหม ถ้าเห็นกายในนี่เห็นธรรมะภายใน ธรรมะภายในจะแก้ไขพิษภัยในหัวใจได้

ธรรมะภายนอกมันจะทำให้เรานี่มีมารยาทสังคมดี มารยาทสังคมเรียบร้อย มันก็เป็นความร่มเย็นเป็นสุขอย่างหนึ่ง นี่ธรรมะภายนอก เพียงแต่ศึกษามาเป็นสัญญา เป็นความจำ สิ่งที่เป็นสัญญาความจำเกิดที่ไหน ถ้าสัญญาความจำ อาการของใจ ในเมื่ออาการของใจก็เกิดจากใจนั่นแหละ สิ่งที่ตัวพลังงานคือตัวจิตนี้ นี่ตัวนี้เข้ามาจากภายใน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วถึงท้อแท้นะว่าเราจะสอนอย่างไร เราจะทำให้คนเขาเข้าใจสภาวะแบบนี้ได้อย่างไรเพราะมันลึกซึ้งไง ลึกซึ้งเพราะอะไร เพราะคนเวลาเราพูดสิ่งใด เราก็คิดในความรู้สึกของแต่ละคนก็ต่างกัน เห็นไหม นี่ในมุมมองต่างๆ ของที่เราเข้าใจสิ่งต่างๆ ก็ต่างกัน ความต่างกันอย่างนี้มันอยู่ที่ว่าเบื้องหลัง เบื้องหลังคือจริตนิสัยที่สร้างสมมา แม้แต่สิ่งที่มุมมองของเรา วัตถุสิ่งเดียวกัน มุมมองของคนก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกันนั้นอยู่ที่ความรู้สึกจากภายใน แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไปจะชำระกิเลส สิ่งที่ชำระกิเลสจะ...ธรรมะจากภายนอก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษา นี่ธรรมะจากภายนอกเขาระลึกอดีตชาติก็ได้ กาฬเทวิลระลึกอดีตชาตินะ ทำสมาบัติได้ ดูฤๅษีชีไพรที่เขาเหาะเหินเดินฟ้าได้ เห็นไหม สิ่งนี้เหาะเหินเดินฟ้าเขาทำได้ตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะออกไปศึกษา สิ่งนี้ก็มีอยู่แล้ว เห็นไหม ในปัจจุบันนี้ ลัทธิต่างๆ ในอินเดียเขาก็ยังมีของเขาอยู่ พวกโยคี พวกการที่ว่าเขาทรมานตนของเขา มันก็ยังมีอยู่ เห็นไหม ความเชื่อนี้มีอยู่นะ

ดูสิ ดูเรื่องของกิเลส เรื่องของความคิด แม้แต่ศาสนาของเรา ศาสนาพุทธนี่เป็นการยืนยัน เป็นการประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติ การแก้ไขกิเลส สิ่งที่แก้ไขกิเลสมันต้องเข้ากับมรรคญาณ

สิ่งที่มรรคญาณนะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเกิดมรรคญาณ เข้าไปเจาะ เจาะฟองไข่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเป็นไก่ตัวแรกที่กะเทาะเปลือกอวิชชาออกมา สิ่งที่กะเทาะเปลือกอวิชชาออกมา นี่สิ่งนี้เป็นมรรค สิ่งที่เป็นมรรคจากภายใน เห็นไหม

การเจาะเข้ามาถึงต้องทำความสงบของใจเข้ามา คำบริกรรมไง ถ้าเรามีคำบริกรรมนะ สิ่งที่คำบริกรรม เพราะธรรมชาติของกิเลส ธรรมชาติของยางเหนียว สิ่งที่ยางเหนียว เห็นไหม เรามียางเหนียวนี่เราไปปิดสิ่งใดหรือความสกปรกสิ่งใดมาติดกับสิ่งที่เป็นกาว สิ่งที่เป็นยางเหนียว มันก็ติด นั้นเป็นสิ่งที่เป็นวัตถุนะ แต่กิเลสมันร้ายกาจกว่านั้นอีกเพราะอะไร เพราะมันไม่มีสิ่งใดมากระเทือนมันเลย ไม่มีสิ่งใดมาเกาะติดมันเลย มันก็ปรุงแต่งของมันได้ไง มันปรุงแต่งของมัน เห็นไหม

เวลาเรานอนหลับเราฝัน เราคิดตรึกตรองเอา เราฝันของเราไป เห็นภาพต่างๆ สิ่งนั้นมันเกิดมาจากไหนล่ะ นี่สิ่งที่ฝัน ฝันนั้นคือสังขาร สังขารคือ ความคิด ความปรุง ความแต่ง สังขารนี่มันจะเกิดมาลอยๆ เกิดมาจากไหน มันต้องมีข้อมูลของมัน ข้อมูลของมันมาจากไหนล่ะ ข้อมูลมันนะ

ถ้าเราปัจจุบันนี้เรามีสิ่งใดฝังใจอยู่ ขณะที่มันขาดสติ สิ่งนั้นมันจะสะเทือนใจออกมา มันจะเป็นความฝันออกมาแล้วสิ่งที่เราไม่เคยประสบล่ะ สิ่งที่ไม่เคยประสบมันมาจากไหนล่ะ มันมาจากตัวใจนี่ไง มันมาจากตัวกิเลสที่ว่า สิ่งใดที่ไม่ต้องไป ไม่ต้องมีสิ่งใดเกาะเกี่ยวมันก็ปรุงของมันได้ไง สิ่งที่มันปรุงของมัน เห็นไหม เราจะฝัน เราจะสิ่งใดจนตื่นขึ้นมาเรานี่เรามีความตกใจมากนะ เรามีความว่ารู้สึกสะเทือนหัวใจมากเลย สิ่งที่สะเทือนหัวใจ เห็นไหม

ขณะที่เราตื่นอยู่อย่างนี้ เราเป็นปกตินี่เราคิดของเราเป็นธรรมชาติของเรา ขณะที่เรานอนหลับ สิ่งที่ฝันออกมามันออกมาจากใจไง มันสะเทือนเข้าไปถึงใจนะ สิ่งที่สะเทือนถึงใจมันมาจากไหน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีเหตุมีผลนะ นี่ไม่มีสิ่งใดจะมาโดยที่ว่าไม่มีเหตุไม่มีผล เห็นไหม แม้แต่ฝุ่นละอองมันก็ปลิวขึ้นไปจากพื้นนี้ ปลิวไปจากต้นไม้ต่างๆ มันเป็นฝุ่นละอองขึ้นไป มันต้องมีที่มาทั้งนั้นล่ะ มันไม่มีสิ่งใดเลยที่ว่าไม่มีที่มาแล้วมี ไม่มีหรอก

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดของเรานี่ ความสงสัยของเรามันมาจากไหน ก็มันมาจากความรู้สึกไง มันมาจากสิ่งที่สะสมมา สิ่งที่ว่าเป็นอวิชชา เห็นไหม ถึงบอกพญามารเป็นเจ้าวัฏจักร พญามารเป็นเจ้าวัฏจักรแล้วก็ขับไสนะ อยู่ในหัวใจของสัตว์โลก สัตว์โลกนะไม่ใช่มนุษย์หรอก ในวัฏฏะนี้ทั้งหมดเลย ตั้งแต่พรหมลงมานะ

เวลาพรหมเขาขึ้นไปของเขานี่ เขามีความสุขของเขา เพราะเขาเป็นพรหม สิ่งที่เป็นพรหมมันก็มีมารคุมอยู่ สุขขนาดไหนก็คลุมอยู่ เทวดา อินทร์ พรหมต่างๆ มีพญามารคุมอยู่ทั้งหมดเลย ในวัฏฏะนี้อยู่ใต้กฎ อยู่ใต้ความปกครองของพญามารทั้งหมดเลยแล้วพญามารมันอยู่ในหัวใจของเราเพราะอวิชชา

อวิชชานี้เป็นเรือนยอดของเจ้าวัฏจักร แล้วอวิชชาคือความไม่รู้ไง เริ่มต้นฐานของเรานี่ เราไม่รู้จากความรู้สึกของเรา แต่เพราะที่เราเข้าใจกันที่ว่า เรามี เราศึกษาธรรมนี่ธรรมนอกๆ ธรรมนอกคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนธรรมคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้พิสูจน์จากหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน เวลาประกาศธัมมจักฯ ขึ้นไป เทวดา อินทร์ พรหม ส่งต่อๆ ขึ้นไป ประกาศธัมมจักฯ จักรนี้เคลื่อนแล้ว เทวดา อินทร์ พรหม ส่งข่าวต่อๆ กันไป มีความรื่นเริงว่า ธรรมะเกิดแล้ว นี่เหมือนคนไข้ เหมือนโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่มียา สมัยโบราณเรา เห็นไหม สมัยโบราณ ขณะที่ว่าโรคอหิวาเกิดที่ไหน คนทั้งเมืองต้องย้ายหนีนะเพราะอะไร เพราะมันไม่มียารักษาไง ตายกันทีครึ่งเมืองค่อนเมืองนะ นั่นเพราะไม่มียา เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกันก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่ไม่มีธรรมโอสถ ในเมื่อยังไม่มีธรรมโอสถ สิ่งที่เขาศึกษากัน ธรรมนบนอบ ธรรมแต่ให้กิริยามารยาทสวยงามเท่านั้น เห็นไหม สิ่งที่ทำกิริยามารยาทนี้คืออามิส สิ่งที่มีอามิส มีการสืบต่อ

ในเมื่อทำคุณงามความดี คนมีศีลธรรม จริยธรรมเป็นคนดี คนดีก็เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ถ้ามีการเสียสละทาน เห็นไหม นี่เหตุที่ให้เกิดเป็นพระอินทร์นี่สละศาลาโรงธรรม สละสิ่งที่เป็นสาธารณะ พวกนี้เกิดเป็นพระอินทร์เพราะอะไร เพราะได้ให้ความสะดวกสบาย ให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับสังคมไง

เวลาเราดับขันธ์นี้ไป เราก็ไปเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือเขาเพราะเขาได้ใช้ความสะดวกสบายจากน้ำพักน้ำแรงของเรา เห็นไหม เกิดเป็นพระอินทร์ยังสละทานอย่างนี้ นี่มันก็เวียนไป แม้แต่พระอินทร์ก็มาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาใส่บาตรพระกัสสปะ สิ่งที่เขาเกิดสุขสบายขนาดไหน แต่หัวใจว้าเหว่นะ สิ่งที่หัวใจว้าเหว่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิสูจน์สิ่งนี้ขึ้นมาก่อน สิ่งที่บุญกุศลที่สร้างสมกันขึ้นไป เวลาสิ่งที่เป็นอามิสนี้ก็ได้รับผลสิ่งนั้นไป นี่มันหักวัฏฏะไม่ได้ไง แต่ถ้าเป็นธรรมะภายในนะ มันจะหักเชื้อ หักไข หักสารพิษของพญามาร พญามารนะ ตั้งแต่ลูกของพญามาร หลานของพญามาร สิ่งต่างๆ นี้เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นการสะสมมา ธรรมชาติของหัวใจ ธรรมชาติของจิต ธรรมชาติสิ่งที่จิตนี้พาขับเคลื่อนให้จิตนี้ไปเกิด

เราดูในปกติวันหนึ่งของเราสิ วันหนึ่งตื่นขึ้นมาคิดถึงเรื่องอะไรบ้าง นี่เวลาความคิดหนึ่งเกิดขึ้น นั้นคือภพชาติหนึ่ง ภพชาติหนึ่งของความรู้สึกเกิดขึ้น เวลาความคิดหายไป นี่เกิดดับ เกิดดับภพชาติหนึ่งๆ นี้คือความคิดในปัจจุบันนะ นี้ภพชาติในอารมณ์ความรู้สึก

แต่ถ้าเราสร้างคุณงามความดีหรือบาปอกุศลสิ่งต่างๆ ก็แล้วแต่ เวลาเราตายไป เราจะได้ภพชาติจริงๆ ภพชาติจริงๆ เห็นไหม พอตายไปมีบุญกุศลก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ เกิดทำบาปอกุศลไว้ นี่พระเทวทัตนะ บวชมาในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสหชาติ เป็นญาติโดยสายเลือดด้วย เวลาออกประพฤติปฏิบัติ นี่ธรรมะนอกๆ ไง เหาะเหินเดินฟ้าได้ นี่ฌานโลกีย์ สิ่งที่ฌานโลกีย์เป็นธรรมะจากภายนอก สิ่งที่เป็นธรรมะจากภายนอก แต่ไม่สามารถชำระกิเลส ธรรมถ้าชำระกิเลส มันต้องเป็นธรรมะจากภายใน

ถ้าธรรมะจากภายใน ความเห็นต่างจะเกิดขึ้นมา ความเห็นต่างนะ เวลาเราพิจารณากาย ว่าเวลาทำจิตสงบเข้ามา เวลาเห็นกาย มันเป็นกายนอก กายนอกคือสัญญาอารมณ์ สิ่งที่เป็นสัญญาอารมณ์ เราก็ต้องพิจารณาสิ่งนี้ไป พอพิจารณาสิ่งนี้ไปบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้ง จิตมันจะพัฒนาเข้ามา มันจะปล่อยจากกายจากข้างนอกไปปล่อยกาย ปล่อยสัญญาอารมณ์ขึ้นมา พอมันปล่อยสัญญาอารมณ์ขึ้นมา มันจะสงบตัวเข้ามา สิ่งที่สงบตัวเข้ามา มันจะเป็นจิตตั้งมั่น

แต่เดิม เวลาจิตของเรา ธาตุรู้ ตัวพลังงานตัวนี้ มันเหมือนยางเหนียว สิ่งใดผ่านมามันจะเกาะสิ่งนั้นหมด คืออารมณ์ความรู้สึกไง อะไรที่มันสะเทือนใจ สะเทือนใจหมายถึงว่ามันชอบใจไง สิ่งที่ชอบใจและสิ่งที่ไม่ชอบใจ สิ่งที่ไม่ชอบใจคือสิ่งที่เขาติเตียน สิ่งที่เขากล่าวร้ายเรา สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ชอบใจ สิ่งที่ชอบใจคือสิ่งที่ว่ามันตรงกับความรู้สึก ตรงกับความจริงของเรา นี่มันจะคิดมากเลย มันจะเกาะเกี่ยวกับสิ่งนี้ไป

ถ้าเราพิจารณากายนอกเข้ามาบ่อยๆ ครั้งเข้า พิจารณาความรู้สึกที่ว่า เกิดเพราะอะไร? เกิดเพราะมีฐาน ฐานคือตัวภวาสวะ คือตัวจิต ตัวฐานของความคิด ภวาสวะที่จิตมันขับเคลื่อนออกไป แต่เรายังไม่เห็นสิ่งนั้น เราก็อาศัยกายก่อน พิจารณากายนอก พิจารณาความรู้สึก พิจารณาความเป็นไปของกายนอก ถ้ามันเข้าใจสิ่งนี้ เข้าใจคือ...เพราะจิตมันเป็นความหลง มันไม่รู้จักมัน มันถึงว่า สิ่งที่เป็นความคิด เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ สิ่งนี้เกิดดับ สิ่งใดห้ามมันไม่ได้ เราควบคุมมันไปถึงสิ่งนี้ก็พอ เห็นไหม มันก็คิดไปธรรมชาติของมัน เพราะอะไร เพราะเราไปเปิดทางให้มัน เราไปเปิดช่องให้กิเลสมันได้พลังงานของมันไง ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมดา สิ่งนี้เป็นความคิด สิ่งที่เป็นความคิดมันเกิดดับ เราก็เห็นของมันอยู่แล้ว นี่มันก็เปิดช่อง เหมือนกับสิ่งที่ชำรุด สิ่งใดชำรุด เราไม่รักษามัน มันก็ไม่ทำให้ชำรุดมากไปๆ นี่ก็เหมือนกัน หัวใจเราชำรุดไง มันคิดประสามัน มันเป็นไปตามของมัน มันก็ไปคิด มันก็สร้างสมความทุกข์ สร้างสมความเป็นไปของใจ

แต่ถ้ามันใช้ปัญญา เราพิจารณาของเรา พิจารณากาย พิจารณาสิ่งต่างๆ ไป มันจะเข้าใจสภาวะแบบนั้น นี่เราเริ่มมีกำลังต่อต้านไง เราเริ่มมีกำลังยับยั้งกิเลส ถ้ายับยั้งกิเลส มันเข้าใจสภาวะแบบนี้มันก็ปล่อยๆ สิ่งที่มันปล่อย จากปุถุชน สิ่งที่เกาะเกี่ยวหัวใจ มันจะฉุดกระชากใจให้คิดไปตลอดเลย แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้วเราคิดของเราเข้ามา มันจะเริ่มปล่อยๆ ปล่อยจนซ้ำแล้ว ปล่อย

เวลาพิจารณาซ้ำไปบ่อยๆ เข้า มันจะเห็นโทษของมันไง เห็นโทษนะ สิ่งนี้เกิด เดี๋ยวก็คิด เดี๋ยวก็มีสิ่งใดมาฉุดกระชากใจไปตลอดไป แล้วสิ่งนี้มันก็ซ้ำๆ ซากๆ ซ้ำๆ ซากๆ เพราะมันใหม่ไง มันใหม่ ใหม่กับกิเลสตลอดเวลา เพราะกิเลสมันหิวโหย แต่ความคิดของเรา ถ้าเราทันมัน สิ่งนี้มันก็ซ้ำๆ ซากๆ ถ้าซ้ำๆ ซากๆ เกิดจากอะไรล่ะ

สิ่งใด ไม่มีสิ่งใดไม่มีเหตุไม่มีผล มันซ้ำๆ ซากๆ เพราะมันมียางเหนียว มันมีความพอใจของมัน มันเป็นบ่วงแห่งมาร พวงดอกไม้แห่งมาร ถ้าเราใช้ปัญญาใคร่ครวญสิ่งต่างๆ สิ่งต่างๆ คือความพอใจ ความคิดต่างๆ มันก็ปล่อย สิ่งที่ปล่อย ถ้าบ่อยครั้งๆ เข้า มันจะเข้าใจทัน แล้วมันจะควบคุมสิ่งนี้ได้ ถ้าคุมตรงนี้ได้ นี่กัลยาณปุถุชน จากกายนอก สัญญาอารมณ์จากกายนอก

แล้วถ้าพิจารณาปล่อยออกมาแล้ว ถ้าไม่มีอำนาจวาสนานะ มันจะน้อมไปเห็นกายจากภายในไม่ได้ ถ้าเห็นกายจากภายใน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่ามีบุญญาธิการมาก ถ้ามีบุญญาธิการนะ น้อมไปเห็นกายใน นี่เห็นกายใน เห็นกาย ไม่ใช่เห็นจิตวิญญาณ เห็นจิตวิญญาณคือเห็นผีเห็นสาง เห็นผีเห็นสาง มันเป็นการส่งออกมันข้างนอก แต่ถ้าจิตสงบเข้ามาแล้วเห็นกายนี่เป็นธรรมภายใน

ถ้าเราจะเกิดธรรมภายใน ธรรมภายในนี้คืออริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ที่ควรกำหนด ควรกำหนดที่ไหน เวลามันไปเห็นสิ่งที่...เหมือนเรามีบาดแผล เวลาเราเห็นบาดแผล เราจะชำระล้างแผลเรานี่มีความเจ็บไหม เราชำระล้างแผล เราจะรักษาเรา เราต้องล้างแผลนะ เราต้องเปลี่ยนใส่ยาบ่อยครั้งบ่อยๆ

นี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อพอมันเห็นกาย มันจะชำระล้างกิเลส มันจะเริ่มสะเทือนกิเลส มันก็เป็นธรรมให้เราตกใจ เห็นไหม การเห็นกายทีแรกมันจะสะเทือนหัวใจมาก ถ้าเห็นกายจากภายในนะ ธรรมะภายใน เห็นกายสะเทือนกิเลส ถ้าเห็นเป็นธรรมะภายนอก เห็นกาย สัญญาอารมณ์นะ เห็นกายก็เห็นกายสักแต่ว่าเห็นกาย เห็นกายก็เป็นความว่าเราเห็นธรรม เราเข้าใจธรรม เราเห็นธรรม เราปฏิบัติแล้วได้ผล นี่เป็นความคิดของโลกๆ นะ

ถ้าความคิดโลก มันส่งออกมา พลังงานขับเคลื่อนออกไป ตัวจิตไม่ใช่ขันธ์ ตัวจิตเป็นตัวพลังงานอันหนึ่ง พลังงานนั้น ธาตุรู้ เวลาธาตุรู้ เวลาธาตุรู้ พลังงานเกิดขึ้นมา พอพลังงานเกิดขึ้นมา ขับเคลื่อนออกไปมันก็ขับเคลื่อนออกไปเป็นขันธ์ สัญญาข้อมูลเดิม สัญญา สังขารปรุงแต่ง วิญญาณรับรู้ นี่เวทนา ความชอบ ไม่ชอบ สิ่งนี้จะหมุนไปตลอดเวลา นี่มันจะเคลื่อนออกไปตลอดเวลา เพราะอะไร เพราะมันขับเคลื่อนออกไป

สิ่งที่ขับเคลื่อนออกไป มันถึงออกไปเป็นสัญญาอารมณ์ แล้วถ้าเราพิจารณาสัญญาอารมณ์อย่างนี้ มันก็ปล่อยวางสิ่งนั้นเข้ามา ปล่อยวางสิ่งนั้นเข้ามา จนมาถึงตัวใจ พอตัวใจ ใจย้อนไปดู ไปดูกายอีกทีหนึ่ง เห็นกายโดยวิปัสสนา นี่สิ่งที่เห็นกายวิปัสสนานะ เห็นเป็นบางครั้งบางคราว เพราะเรามียางเหนียว เรามีกิเลสตัวนี้มันขับไสอยู่ในหัวใจ ถ้ายังมีกิเลสตัวที่ขับไสอยู่ในหัวใจ มันทำให้เราไม่คงที่ไง สิ่งที่ไม่คงที่ จิตเราควบคุมได้ยาก สิ่งใดที่กระทบ มันก็จะไหวตลอดเวลา

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อจิตมันสงบ จิตมันมีพลังงาน มันย้อนไปเห็นกาย มันก็จะเห็นสภาวะกายนั้น พอเห็นกายสภาวะอย่างนี้ ถ้าเป็นธรรมภายในนะ มันสะเทือนมาก สะเทือนนะ เห็นกายใหม่ๆ จะมีสะเทือนหัวใจนะ ขนพองสยองเกล้าเลย แล้วหลุดไม้หลุดมือนะ เราต้องพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ไม่ให้หัวใจมันเคลื่อน มันสั่นไหว

ถ้าหัวใจมันเคลื่อน มันสั่นไหว เหมือนกับสิ่งที่ว่าต้องการความนิ่ง สิ่งที่เป็นความนิ่ง แล้วถึงจะจับเห็นภาพอันนั้น ถ้าสิ่งนั้นมันไม่นิ่ง สิ่งที่ไม่นิ่งเพราะอะไรล่ะ เพราะมันไปเห็นโทษไง เห็นโทษว่าสิ่งที่เป็นความคิดออกไปจากภวาสวะ ออกไปจากฐานของจิต ออกไปจากฐานของจิตเพราะมันก็เกี่ยวเนื่องกับกายนี้ พอเกี่ยวเนื่องกับกายนี้ ถ้าเราย้อนกลับมาอยู่ที่กายนี้ เห็นสภาวะกาย ถ้าเห็นสภาวะกาย มันก็สะเทือนสิ่งที่เป็นฐานออกไปรับรู้เขา

สิ่งที่รับรู้เขา เหมือนกับเราเข้าไปหาสิ่งที่เป็นฝ่ายทุจริตไง สิ่งที่ทุจริต คือตัวมาร ตัวมารที่อยู่ในหัวใจของเรา มันอาศัยสิ่งนี้ เห็นไหม เราถึงไม่รู้จักตัวเรา เราไม่เคยรู้จักตัวเราเลย ชีวิตนี้คืออะไรก็ไม่เข้าใจ เกิดมา เกิดมาเพื่ออะไรก็ไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่มีบุญนะ มีบุญได้เกิดเป็นมนุษย์ ๑ เกิดเป็นมนุษย์นะ พบพุทธศาสนาอีก ๑ แล้วมีความศรัทธา ความเชื่อออกประพฤติปฏิบัตินี่แสนยาก เพราะอะไร เพราะทุกคนต้องการ

มารมันอยู่ในหัวใจอยู่แล้วใช่ไหม ทุกคนก็ว่าชีวิตนี้ต้องไปตามกระแสโลก ชีวิตนี้ กิเลสมันมีการแข่งขัน โลกเขาแข่งขันกัน แข่งขันกันทุกอย่างเลย ความดำรงชีวิตก็แข่งขัน สิ่งใดๆ ต่างๆก็แข่งขัน แล้วเราก็ไปแข่งขันกับเขา ว่าสิ่งนี้มันจะเป็นความสุข สิ่งนี้เป็นความสุขไง วิ่งเข้าไปเถิด แสวงหาสิ่งใด มันก็ให้ผลแต่ความเป็นทุกข์นะ ทั้งๆ ที่มีบุญ คนนี้มีบุญ พอเกาะสิ่งใดมันก็จะมีโอกาส มันก็จะมีประสบความสำเร็จ

แต่ประสบความสำเร็จขนาดไหน ถึงที่สุดแล้วนะ เวลาชราคร่ำคร่าขึ้นมา มันจะอาลัยอาวรณ์นะ สังเกตได้ไหมว่าคนแก่ชอบพูดถึงเรื่องอดีต เรื่องอดีตที่ผ่านมา เพราะสิ่งนั้นจะเอามาพูด เอามาคุยอยู่ตลอดเวลา นี่เรื่องของคนแก่ไง เพราะอนาคต ไม้ใกล้ฝั่งนะ เราทุกคนเวลาไม้ใกล้ฝั่ง มันต้องพลัดพรากนะ

“ชีวิตนี้มีพลัดพรากเป็นที่สุด” เวลามีพลัดพรากเป็นที่สุด ของใดแสวงหาเข้ามาขนาดไหน มันเป็นของสมมุติ คือของชั่วคราว สมมุตินะ สมบัตินี่เป็นของสมมุติ แต่เป็นของเรานะ ของเรา เพราะเรามีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอยู่ ถ้าเรามีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอยู่ ชีวิตเรายังมีอยู่ สิ่งที่เป็นสมบัติของเราก็เป็นสมบัติของเรา

แต่ถ้าลมหายใจมันขาดนะ สิ่งนี้ ถ้าเป็นทางโลกก็เป็นมรดกตกทอดให้กับลูกหลานไป สิ่งที่ลูกหลานเขาได้รับคือได้รับสิ่งนี้ สมบัติเราเป็นคนหามา เป็นสิ่งที่หามาเป็นน้ำพักน้ำแรงของเรา ถ้าเราเป็นคนดี สมบัติมันจะเป็นประโยชน์กับเรา แล้วถ้าตกถึงลูกหลานเราเป็นคนดี มันก็จะรักษาสมบัตินั้นไว้ได้ รักษาสมบัติ เห็นไหม สายบุญสายกรรม ลูกเกิดมาจากใคร? ก็เกิดมาจากเรา เรานี้เกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากพ่อแม่ของเรา นี่สายบุญสายกรรมชักนำกันมา สิ่งที่ชักนำกันมา สิ่งนี้เขารักษาได้ เพราะเป็นกุศลของเขา แต่เราล่ะ เราได้อะไรสิ่งนี้ไป สิ่งนี้เราได้อะไรขึ้นมา

แต่ถ้าเราย้อนกลับมาดูในชีวิต สายบุญสายกรรมจากภายใน ที่เรามีศรัทธา แล้วมีความเชื่อ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ สิ่งนี้ศรัทธานี่สำคัญที่สุด ถ้าไม่มีศรัทธา สมบัติของมนุษย์เรานี่นะ ถ้าศรัทธา ศรัทธานี่ทำให้เราเริ่มต้นแสวงหาไง “เชื่อ” เชื่อแล้วต้องพิสูจน์ สิ่งที่พิสูจน์ เห็นไหม ก็ให้เราเข้าประพฤติปฏิบัติ

ถ้าเราเข้ามาประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่เกิดขึ้นมา สิ่งที่ว่าเป็นธรรมโอสถๆ ที่โลกเขาไม่มี ที่โลกเขาว่าเป็นโรคเป็นภัยกัน ที่ว่าไม่มียารักษา นี่มียารักษานะ แล้วยาก็อยู่ข้างๆ โลกนี้ โลกไง โลกคืออวิชชา คืออวิชชาในหัวใจของเรา ยาก็อยู่ในหัวใจของเรานี้

ยาคือความสงบของใจ ถ้าใจสงบเข้ามา จิตสงบ เริ่มสงบเข้ามา เราจะจิตตั้งมั่น จิตเราตั้งมั่น ถ้าจิตเรายังตั้งมั่นไม่ได้ มันก็ล้มลุกคลุกคลาน คนเรานะ เวลาล้มลุกคลุกคลานจากภายนอก ถึงกับหกล้มหกลุก นั่นเป็นเรื่องของกิริยาของกายนะ แต่หัวใจ นั่งอยู่เฉยๆ มีความสงบอยู่ แต่หัวใจมันฟุ้งซ่าน มันคิดออกไปหมด นี่ความล้มลุกคลุกคลานของมัน

แล้วเวลาจิตมันจะสงบเข้ามา กำหนดพุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันจับพลัดจับผลู มันหาทางเข้า นี่หกล้มลุกคลุกคลาน เพราะมันเข้าออกไม่ได้ มันบิดไปเบี่ยงมาอยู่ในหัวใจของเรา มันทำให้น่ารำคาญ น่ารำคาญ ทำไมเราทำไม่ได้ เราทำไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราไม่มีความจงใจ ถ้าเรามีความจงใจนะ เราตั้งสติ

สิ่งใด...เหมือนกับสอยเข็ม ถ้าคนเด็กๆ หรือวัยรุ่นนี่เขาจะสอยเข็มได้ เพราะสายตาเขาดี ผู้เฒ่าผู้แก่ เวลาสอยเข็มนะสอยได้ยากมากเลย เพราะสิ่งที่เป็นด้ายกับเข็ม แล้วรูมันเล็ก แล้วตาเราก็ฝ้าฟาง นี่เป็นอย่างนี้เกร็งนะ พยายาม พยายามอยู่อย่างนั้น จิตก็เหมือนกัน เวลามันจะเข้า มันจะออก ถ้าเราไปทำรุนแรง มันก็ทำไม่ได้ ต้องตั้งสติ ตั้งสติแล้วค่อยๆ ตั้งสติ เวลาบอกว่าทำความเพียรต้องมีความเข้มแข็ง ต้องมีความอดทน แล้วทำไมต้องค่อยๆ ล่ะ? ต้องเข้มแข็งอดทน เรานี้มันเป็นกิริยาเริ่มต้น

แต่เวลาทำไป ถ้าเรามีสติตลอดไป จิตมันจะอ่อน จิตมันจะสงบเข้ามาๆ เป็นขณิกสมาธิ นี่เราก็ตื่นเต้น ความตื่นเต้นของจิต สิ่งที่ประสบความสัมผัสมันเป็นปัจจัตตังนะ เวลาจิตสงบเข้ามานะ เวลามันฟุ้งซ่าน เราก็ว่าฟุ้งซ่าน สิ่งนี้เราทำไม่ได้เลย เวลาสงบขึ้นมาก็ไปตื่นเต้นกับความสงบอีก อยากได้อย่างนี้ อยากได้อย่างนี้ ถ้ามันสงบเข้ามาอย่างนี้เป็นปัจจัตตังไง

สิ่งที่เขาบอกเล่ากันเป็นเรื่องภายนอกนะ นี่ธรรมภายนอก เป็นเรื่องบอกเล่า เห็นไหม มีถึงกับอ้อนวอนเอา ขอเอา พยายามศึกษาเอา แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่เราเข้าไปประสบ นี่เป็นปัจจัตตัง

ธรรมภายในเราไปสัมผัส เราถึงบอกว่า ถ้ามันอยากได้ มันสะเทือนหัวใจ สิ่งนี้มันหลุดไม้หลุดมือไป เราก็ทำใหม่ ตั้งสติให้ดีๆ ไม่ล้มลุกคลุกคลานไง สิ่งที่ประสบมานี้ถ้าไม่สมความปรารถนา มันก็ล้มลุกคลุกคลาน สิ่งนี้มันจะเป็นครูของเราไง แล้วเราก็ตั้งสติเข้าไป ถ้ากำหนดเข้าไปเป็นขณิกสมาธิ เราก็กำหนดพุทโธเข้าไปเรื่อยๆ พุทโธๆ จิตมันก็สงบเข้าไปเรื่อย หน้าที่ของเรากำหนดพุทโธ เราต้องสร้างเหตุ

เราจะจุดไฟ เราจะรักษากองไฟของเรา เราต้องใส่ฟืน เราต้องรักษาของเราให้ดี สิ่งนี้ก็เหมือนกัน เรามีหน้าที่ของเรา ตั้งสติแล้วกำหนดพุทโธเฉยๆ พุทโธไปเรื่อยๆ หน้าที่ของเราไม่ใช่ว่าต้องการให้สมาธิเป็นขณิกะ เป็นอัปปนา เป็นสิ่งที่เราปรารถนา นี้คือกิเลสมันสวมรอยนะ หน้าที่ของเราไม่เกี่ยว หน้าที่ของเราคือสร้างเหตุ ชำนาญในวสี ชำนาญในเหตุ วสีคือการเข้าออกสมาธิไง ถ้าเราชำนาญในสมาธิ เราจะทำกำหนดเมื่อไหร่ก็ได้ เราจะทำอย่างไรก็ได้ เพราะอะไร

เพราะเราไม่สนใจกับผลของมัน เราไม่สนใจกับสิ่งที่เป็นไป เราไม่สนใจกับสิ่งที่เราจะสอยเข็มเข้าหรือไม่เข้า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ไม่ใช่หรอก เราทำถูกต้อง มันเข้าเอง ถ้าเราทำไม่ถูกต้อง มันไม่เป็นหรอก นี่เราพยายามสอยไปขนาดไหน ถ้าไม่ตรง มันไม่เข้าหรอก แต่เราก็สอยของเราไปเรื่อย แต่ไม่หงุดหงิด

นี่ก็เหมือนกัน กำหนดพุทโธๆ ไปเรื่อยๆ นะ ตั้งสติของเราไป หน้าที่ของเราทำอย่างนี้ พุทโธๆ กับสติพร้อมไปเรื่อยๆ มันละเอียดไปเองไง ละเอียด เราพยายามพุทโธเพราะสติเราพร้อมใช่ไหม เราไม่ใช่คนเผลอ ถ้าเผลอนี่ตกภวังค์ไป หรือหายไป หรือตกในบ่อในเหว จิตมันเป็นสภาวะแบบนั้น

ถ้าเรามีสติ เรากำหนดพุทโธไป มันละเอียดเอง จิตนี้เป็นไปเอง แต่เป็นเองโดยเหตุนะ เป็นเองโดยสติ เป็นเองโดยคำบริกรรม ไม่ใช่เป็นเองโดยที่มันจะเป็นเอง เรานอนอยู่แล้วมันจะเป็นเอง เป็นไปไม่ได้ แต่ในเมื่อเรามีสติ แล้วเรามีความตั้งใจ เรามีคำบริกรรม มันเป็นไปเอง ในเมื่อเหตุมันพอ เหตุมันสมควรแก่มัน มันต้องสงบลง

ถ้าจิตมันสงบลงอย่างนี้ จิตนิ่ง ถ้าจิตเรานิ่ง ภาพที่เห็นมันก็จะชัดเจน ถ้าจิตเราไม่นิ่ง ภาพนั้นมันก็ไม่ชัดเจน สิ่งที่ไม่ชัดเจน สิ่งที่เป็นธรรมะภายในไง ถ้าสิ่งที่เป็นธรรมะภายใน มันจะจับ มันจะมีฐานแล้วน้อมไปดูที่กาย สิ่งที่กาย มันสะเทือนหัวใจ พอมันสะเทือนหัวใจมันก็สั่นไหว มันก็ออกไปตาม เพราะอะไร เพราะเราเป็นหัวใจมันมีมารอยู่แล้ว มันมีเชื้อไขอยู่แล้ว ไม่ต้องอะไรไปกระเทือนมัน มันก็เป็นสิ่งที่ขับไส เป็นความฟุ้งซ่าน เป็นความไม่พอใจอยู่ในหัวใจเราอยู่แล้ว แล้วเราพยายามจะชำระเขา แล้วเรายังกำหนดจิตของเราเข้ามา จนกว่าเรามีอำนาจวาสนา เราย้อนไปดูกาย สิ่งที่เราย้อนไปดูกาย สิ่งนี้มันก็ต้องสะเทือนสิ

พอมันสะเทือนขึ้นไป ขณะที่ไม่มีสิ่งใดไปสะกิดเขา เขาก็มีอำนาจเหนือหัวใจนี้อยู่แล้ว แล้วสิ่งที่มี สิ่งที่ไปสะเทือนใจเขา เขาก็ยิ่งมีอำนาจใหญ่ มันก็หลุดไม้หลุดมือไป เราก็ต้องเริ่มต้นกำหนดความสงบเข้ามา ทำให้จิตนิ่ง แล้วน้อมไปดูกาย การเห็นกายนี้มันเป็นการวิปัสสนา การเห็นกายนี้เป็นคุณสมบัติของธรรม ไม่ใช่การเห็นกายนี้มันจะลอยมาจากเมฆหมอก หรือลอยมาจากฟากฟ้าที่ไหน จะมีอำนาจวาสนาขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าไม่ได้เห็นกาย ไม่ได้วิปัสสนา ทำบุญกุศล จะเป็นพระอินทร์ เป็นพรหมต่างๆ ขนาดไหน ก็วนไปในวัฏฏะ ต้องตายไปในวัฏฏะตลอด ไม่มีสิ่งใดชำระกิเลสได้เลย

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องออกมาค้นคว้าอยู่ ๖ ปี แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มาตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ ถึงที่สุดแล้ว กระบวนการของการชำระกิเลส ต้องกลับมาที่การกำหนดคำบริกรรม ทำความสงบของใจเข้ามา เพื่อจะทำลายกิเลสในหัวใจของสัตว์โลกไง

ในเมื่อเรามีหัวใจ ในเมื่อพญามารมันอยู่ที่หัวใจของเรา พญามารเป็นเจ้าวัฏจักร นี่โลกนี้มีเพราะมีเรา มีเราเพราะเรามีชีวิต ชีวิตเราถึงมี สิ่งที่ชีวิตเรามี ชีวิตเรานี้เกิดมาจากอะไร ชีวิตเราเกิดจากพลังงานของตัวจิต ตัวปฏิสนธิจิต แล้วปฏิสนธิจิตมีอวิชชาอยู่ตรงนั้น นี่มันต้องย้อนกลับเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา ทวนกระแส ทวนกระแสเข้าไปเพื่อจะไปชำระล้างสิ่งที่เป็นสารพิษในหัวใจ เห็นไหม สิ่งที่เป็นสารพิษในหัวใจ ย้อนกลับมา นี่ธรรมะภายในมันจะไปแก้สิ่งนี้ ถ้าแก้สิ่งนี้ได้ จิตจะนิ่ง ถ้าจิตจะนิ่ง วิปัสสนาจะเกิด

วิปัสสนา พระไตรลักษณ์ สิ่งที่เห็นไตรลักษณ์เป็นอนัตตา สิ่งนี้ ความทุกข์ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้น... ทุกข์สุขทุกอย่างในโลกนี้เป็นอนิจจัง ชีวิตนี้ก็เป็นอนิจจัง เพราะมันชั่วคราวๆ สิ่งต่างๆ ที่มี ธรรมชาติของมัน สภาวธรรมมันเป็นอย่างนี้ แต่ไม่มีใครค้นคว้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นคว้าสิ่งนี้ขึ้นมา ค้นคว้าคือจิตเข้าไปสัมผัส เข้าไปพิสูจน์กันไง พิสูจน์คือการเกิดดับจากหัวใจที่มันเร็วมหาศาล แล้วสิ่งนี้มันมีขับเคลื่อน มีพลังงานของมัน เชื้อไขอย่างนี้ไง แล้วจิตขับเคลื่อนอย่างนี้

ทางวิทยาศาสตร์นะ เวลาเขาพิสูจน์กันทางชีวภาพ พันธุ์พืช การผสมพันธุ์พืช การหาพันธุ์พืชที่ตัดต่อพันธุ์พืชเพื่อจะให้มันพัฒนา ให้มันสิ่งที่ว่าพอใจกับเมล็ดพันธุ์ของเขา นั้นเป็นทางวิทยาศาสตร์ นั้นเขาตัดต่อของเขานะ แต่นี่อวิชชาอยู่ภายใน จิตที่มันสงบเข้าไป มันจะเข้าไปชำระสิ่งที่เป็นชีวภาพของจิตไง จิต สิ่งที่มันเป็นจากภายใน ย้อนกลับ ย้อนกลับเข้ามา จนสิ่งนี้มันสงบเข้ามา แล้วสงบ

เวลาเห็นกาย ถ้ามันพิจารณาของมัน ถ้ามันเป็นไตรลักษณะ สิ่งที่เป็นไตรลักษณะ เวลาพิจารณากายนะ กาย เห็นเป็นภาพของกาย จิตนิ่ง จับภาพสิ่งนี้ได้ วิภาคะให้มันขยายส่วน สิ่งที่ขยายส่วน เห็นไหม ไตรลักษณะ ไตรลักษณะคือว่า มันสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา

สิ่งที่ธรรมดามันเป็นธรรมดาของมันอยู่อย่างนั้น แต่ด้วยสภาวธรรม ด้วยความเห็นของใจ เพราะด้วยเอาใจตัวนี้เป็นผู้ดู เพราะใจนี้เป็นผู้ขยายให้มันเป็นวิภาคะ ให้สิ่งนี้ขยายส่วนออกไป นี้การพิจารณากายนะ มันขยายส่วนแยกส่วน พอขยายส่วนแยกส่วน มันทำลายกายอย่างนี้ ปล่อยวางแล้วปล่อยวางอีก ถ้าปล่อยวางอย่างนี้ เวลาปล่อยวาง จิตสงบเข้ามา มันมีความดูดดื่ม สิ่งที่มันปล่อยวางเข้ามา มันจะเข้าใจ เข้าใจเพราะอะไร

นี่เวลาประพฤติปฏิบัติเป็นปัจจัตตังอย่างนี้ไง เป็นปัจจัตตัง ถ้าจิตมันสงบ จิตมันปล่อย ปล่อยขนาดไหน ถามตัวเองสิ มีความลังเลสงสัยไหม ถ้ายังมีความลังเลสงสัย นั้นน่ะ ตัวอวิชชายังมีอยู่ กิเลสที่สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดยังมีอยู่ เห็นไหม ปล่อย ว่าง มีความสุข ว่างๆ แต่มันก็สงสัย สงสัยไปตลอด

แต่ถ้าวิปัสสนาซ้ำไปบ่อยครั้งเข้า ถ้ามันว่างขนาดไหน มีความสุขขนาดไหน นี่แม้แต่ธรรมภายในนะ ที่จะไปชำระกิเลส กิเลสมันก็ยังบิดเบือนอยู่มาตลอดเวลา ถ้าเราวิปัสสนา เราใคร่ครวญไป นี่มันใคร่ครวญสิ่งนี้ นี่งานของเรา ถ้ามันเห็นนะ

นี่ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นไตรลักษณ์ก็คิดว่าพระไตรลักษณ์เกิดขึ้นมาแล้วจะเห็นตามความเป็นจริง...ก็ฟังกันมาจนชินหูนะ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติ กิเลสมันก็สร้างภาพ ทำให้เราเห็นอย่างนี้ นี่เป็นสิ่งที่...ธรรมภายนอกไง ธรรมภายนอกประพฤติปฏิบัติเพื่อเป็นจริต เพื่อเป็นกิริยามารยาท สิ่งที่กิริยามารยาทก็ดูสวยงามไง แต่ธรรมะ เวลาที่มันมีความอุกฤษฏ์ขึ้นมา มันจะต้องจริงจังกับมัน ถ้าจริงจังกับมัน นี่ซ้ำบ่อยครั้ง

ถึงที่สุดมันจะปล่อย ปล่อยแล้วมันก็ขาดนะ ขาดออกไปจากหัวใจ สิ่งที่ขาดออกไปจากหัวใจ อะไรขาดออกไปล่ะ? นี่ความลังเลสงสัยไง ความลังเลนะ มันจะไม่มีความลังเลสงสัยเลย เพราะความลังเลสงสัยนี่คือตัวกิเลส ตัวกิเลสมันสงสัยไปหมด มันต้องการปรารถนาของมันไปหมดเลย แต่เวลาธรรมนะ เวลาวิปัสสนาขึ้นมานี่เราสร้างธรรมาวุธ

ถ้าธรรมาวุธมันฟาดฟันกิเลส ฟาดฟันกิเลสโดยบอกว่า กิเลสก็อยู่ที่ใจ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมโอสถก็อยู่ที่หัวใจ แต่อยู่ที่หัวใจที่เราสร้างขึ้น กิเลสมันอยู่โดยธรรมชาติของมัน กระดิกเมื่อไหร่ กิเลสออกเมื่อนั้นเลย แต่ขณะที่เราตั้งใจปฏิบัติธรรมขึ้นมา มันต้องสร้างสมขึ้นมาเป็นครั้งคราว เป็นครั้งเป็นคราวแล้วชำระล้างเข้าไป ชำระล้างเข้าไป ถึงที่สุดนะ สิ่งนี้กิเลสมันขาดออกไป พอขาดออกไป ความลังเลสงสัยไม่มี สิ่งนี้ไม่มี ไม่มีในเรื่องของกายไง สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด กายเป็นเรา เราเป็นกาย กายเป็นทุกข์ ทุกข์เป็นกาย มันจะปล่อยวางหมด สิ่งที่ปล่อยวางหมด นี่การเห็นกายอย่างนี้

แล้วการเห็นกายวิปัสสนาเข้าไป การเห็นกายแต่ละชั้นก็ต่างกัน ความเห็นกาย ถ้าเห็นกายตามสักกายทิฏฐิ พิจารณากาย เห็นกายมันแปรสภาพตามความเป็นจริง บ่อยครั้งเข้าๆ นี่เป็นโสดาบัน พิจารณากายซ้ำเข้าไปอีกด้วยมรรคญาณ ด้วยธรรมภายใน วิปัสสนาเข้าไป มันจะแยกของมันออกไป แยกของมันออกไป แยกซ้ำเข้าไปๆ จนถึงที่สุด กลับคืนเป็นธรรมชาติเดิมของมัน กลับเป็นน้ำ เป็นดิน เป็นลม เป็นไฟ นี่สกิทาคามี แล้วพิจารณากายซ้ำเข้าไป มันเป็นอสุภะน่ะ คำว่า “อสุภะ” มันเป็นสิ่งที่คู่กับกามราคะ

สิ่งที่กามราคะ นี่ธรรมภายในนะ มันก็ยังมีเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เหมือนกับถ้ำเสือ เราจะจับเสือ เราต้องมุดเข้าไปถ้ำเสือ นี่ไง ถ้ำเสือ คูหาของจิตไง จิตมันถอยร่นเข้ามานะ เวลามันออกหาเหยื่อ ออกหาเหยื่อ ออกตั้งแต่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี่คือตัวจิต เห็นไหม อวิชชา แล้วออกมาตรงอสุภะ นี่เป็นกามราคะ แล้วออกไปที่กลับคืนธาตุเดิมของเขา แล้วออกไปที่สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด

ในเมื่อร่างกายเรายังมีชีวิต ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกยังมีชีวิตอยู่ สมบัติ ทุกๆ อย่าง สมบัติโลกนี้เป็นของเรา ถ้าเราตายก็หมดโอกาสนี้ นี้ก็เหมือนกัน ถ้าเรายังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอยู่นี่ ความรู้สึกนี้ยังมีอยู่ มันก็ยึดจิต ยึดร่างกายนี้เป็นเรา ยึดของนี้เป็นเรา เพราะเราเกิดมา เราเกิดมากับครรภ์ของมารดา เกิดมาจากเป็นมนุษย์เป็นอย่างเรา ของที่เราเกิดมาเองกับเรา มันจะไม่เป็นของเราได้อย่างไร นี่โดยสัญชาตญาณมันคิดอย่างนั้นไง แต่ไม่ใช่เลย

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราได้ร่างกายมานะ ทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์แล้ว ๗ ปี เซลล์ต่างๆ ตายหมด ๗ ปี ปีที่ ๘ ที่ ๙ เป็นคนใหม่หมดเลย เพราะเซลล์ต่างๆ ในร่างกายนี้ตายหมด แล้วมันก็สร้างเซลล์ใหม่ของมันขึ้นมา เป็นคนใหม่ไปแล้วนะ ไม่ใช่คนเก่าเลย แต่มันก็ยังยึดว่าเป็นมัน เป็นมันตลอดไป นี้ทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์กัน แต่ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ พิสูจน์เป็นวิชาการ เป็นวิชาการ มันก็มีวิชาชีพ วิชาชีพการพิสูจน์กันเรื่องกาย แต่สิ่งนี้พิสูจน์แล้วก็เพื่อพยายามจะรักษาร่างกายนี้ให้กลับมามั่นคงแข็งแรง มันเป็นไปไม่ได้หรอก

แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำคัญมากกว่า เห็นวิภาคะอย่างนี้มันจะปล่อย พอปล่อยเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จนถึงกับว่าการเกิดก็เกิดอีก ๗ ชาติ ถ้าเห็นสักกายทิฏฐิความเห็นจริง ถ้าเห็นถึงว่ากลับคืนสู่สภาวะเดิมของเขา นั่นอีก ๓ ชาติ ถ้าเกิดเข้าไปถึงอสุภะ สิ่งที่เป็นอสุภะนะ อสุภะเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันสืบต่อกันอยู่ในหัวใจ

ถ้ามันสืบต่อกันอยู่ในหัวใจนะ ระหว่างขันธ์อันละเอียดกับจิตนี้มันสัมผัสสัมพันธ์กัน สิ่งที่สัมผัสสัมพันธ์กัน ถ้าพิจารณากายนี่มันเป็นอสุภะ อสุภะเพราะอะไร อสุภะเพราะสิ่งนี้มันเป็นกามโอฆะ สิ่งนี้คือการ...

ร่างกายของเรา เรากินอาหารทุกวันนี้ อาหารที่เรากินเข้าไปนี่มันเป็นของคงที่ไหม? มันเป็นของบูดเน่านะ มันเป็นของสิ่งที่... ถ้าเราไม่กินมันก็เสียหายไป ถ้าเราเก็บไว้นะ เวลากินเข้าไป สิ่งนี้มันก็เข้าไปเป็นสารอาหารในร่างกายใช่ไหม สารอาหารนี่มันเป็นสิ่งที่ว่ามีชีวิตอยู่ชั่วคราว มันเป็นสิ่งที่ถ้าปล่อยไว้นานไปมันก็จะเสียเป็นธรรมดา มันเป็นของบูดเน่าใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน ในหัวใจ สิ่งที่มันจะสืบต่อระหว่างจิตกับขันธ์ มันอาศัยความสืบต่อ มันก็เป็นสมมุติจากภายในไง มันเป็นสิ่งที่ว่าชีวภาพของจิตที่มันออกมา มันแสดงตัวออกมา ที่มันจะเพาะเชื้อเพาะพันธุ์ของมันขึ้นมา ถ้าเชื้อมันเพาะพันธุ์ของมันขึ้นมา ถ้าเป็นพิจารณาจิตตัวนี้ มันเป็นสิ่งที่เป็นกามราคะ กามราคะคือกามฉันทะความพอใจ คือจิตที่มันสืบต่อสัมพันธ์กัน สิ่งที่สืบต่อสัมพันธ์กัน นี่ความเป็นไปของจิตมันเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าพิจารณาซ้ำ ถ้ามีอำนาจวาสนา มันจะตัดสิ่งนี้ แล้วมันจะทำลายสิ่งนี้ไป ถ้าทำลายสิ่งนี้เข้าไป มันจะเข้าไปถึงที่สุด ที่สุดว่ามันปล่อยอันนี้เข้ามา

ตั้งแต่กายนอก กายใน กายในกาย สิ่งที่กายมันก็เป็นชั้นเป็นตอนนะ คำว่า “เป็นชั้นเป็นตอน” สิ่งนี้มันถึงต้องมีครูมีอาจารย์ไง ถ้าไม่มีครูมีอาจารย์นะ เราเห็นจากธรรมภายนอกแล้วก็สงสัย ธรรมภายนอกมันเป็นแค่จริตนิสัย เป็นแค่ศีลธรรม แค่จริยธรรม สิ่งที่ศีลธรรมจริยธรรม มันเป็นแค่การสร้างสมบุญญาธิการ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นภายในนะ นี่เป็นภายใน แล้วถ้าเราชำระภายในได้ มันจะย้อนกลับเข้าไปถึงอวิชชา ถ้าทำลายอวิชชาสิ่งนี้ได้ นี่จิตที่ไม่มีพลังงานขับเคลื่อนนะ

ดูนะ ดูอย่างประวัติของอาจารย์จวน อาจารย์จวนท่านพิจารณาของท่าน ท่านพิจารณากามราคะนะ ท่านพิจารณาสิ่งที่กามราคะมันรุนแรงมาก ท่านเอากระดูกช้างแขวนคอ แล้วท่านก็ฉันหมาก แล้วก็คายหมากออกมาที่ร่างนี้ ให้เห็นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สมมุติว่าเป็นเลือด สมมุติว่าเป็นสิ่งที่สกปรก นี่คนมีปัญญาใช้อย่างนั้นนะ แล้วท่านก็พิจารณาของท่านจนผ่านพ้นของท่านไป

เข้าไปถึงหาจิต เห็นไหม ถ้าเป็นของอาจารย์จวนนะ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ ดับเพราะวิธีการดับทุกข์ ท่านจะเห็นอริยสัจของท่านเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอน นี่ธรรมภายในมันจะเห็นเป็นอริยสัจนะ

เสร็จแล้ว คนมีอำนาจวาสนา ท่านอยู่ที่ภูเกล้า เวลาจิตมันสงบเข้ามา ท่านได้กลิ่นมาก่อน กลิ่นเหม็นไปหมดเลยนะ แล้วก็เห็นเปรต ๒ คนพี่น้องเข้ามาขอ เข้ามาบอก ทุกข์มาก ชีวิตนี้ทุกข์มาก เข้ามากราบอาจารย์จวน ขอให้อาจารย์ช่วย อาจารย์จวนถามว่า ที่เกิดเป็นเปรต ๒ คนพี่น้องนี่ทำอะไรมาถึงมาเป็นเปรตอยู่ที่ภูเกล้านี่

บอกว่า เคยเป็นผู้ที่เลี้ยงหม่อนไหม ได้สาวไหม ได้หม่อนไหม ได้ต้มไหม เวลาตายไปเกิดเป็นเปรต สิ่งที่เป็นเปรต

นี่จิตวิญญาณนะ นี้ไม่ใช่อสุภะ นี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นธรรมะภายใน แต่เพราะจิตของอาจารย์จวนท่านนิ่ง นิ่งเพราะอะไร นิ่งเพราะมันไม่มีพลังจากภายในขับเคลื่อนไง เพราะจิตท่านไม่มีอวิชชา จิตท่านไม่มีสารพิษจากภายใน ท่านไม่มีสารพิษจากภายใน สิ่งที่เห็นสภาวะภายนอกมันจะเป็นบุญกุศล

สิ่งที่เป็นบุญกุศล เพราะจิตวิญญาณเป็นเปรต ต้องเป็นสิ่งที่เป็นวิญญาณ จะเห็นจิตวิญญาณของปุถุชน เห็นจิตวิญญาณของผู้ที่เป็นอริยสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามาขอพรนะ ขอให้ช่วย ขอบุญญาธิการช่วยเหลือ เห็นไหม อาจารย์จวนอุทิศแผ่ส่วนกุศลให้ บอกเขานะว่าจะอุทิศแผ่ส่วนกุศล เสร็จแล้วก็ออกจากสมาธิมา รุ่งขึ้น วันสองวัน แล้วกำหนดจิตไปอีก เข้า จิต คงที่จิตเข้าไป เปรต ๒ คนนี้ไปเกิดเป็นเทวดา นี่จิตวิญญาณจากภายนอก

ธรรมจากภายนอก ถ้าผู้ที่มีคุณประโยชน์ ธรรมจากภายนอก ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าจิตของเรายังสั่นไหวอยู่ จิตของเรา อวิชชา สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมหาศาลเลย แล้วเวลาออกไป ส่งออกไปอย่างนั้น มันเป็นธรรมะภายนอก ธรรมะนอก

ธรรมนอก ธรรมในต่างกันนะ ธรรมนอกคือจิตส่งออก เราเข้าใจว่าเราจิตส่งออกคือเราคิดออกไปเรื่องของโลกๆ นั้นคือจิตส่งออก แม้แต่จิตออกไปเห็นนิมิตนี่ก็จิตส่งออกแล้ว จิตที่ส่งออกเพราะอะไร เพราะขณะที่จิตส่งออกไป มันใช้พลังงานของมันออกไป พลังงานของมันถึงต้องใช้ออกไป

นิมิตเกิดจากไหน? เกิดจากจิตสงบแล้วเห็นนิมิต ถ้าจิตสงบเห็นนิมิตแล้ว ขณะที่เห็นนั้นน่ะ จิตมันได้ใช้พลังงานของมันออกไปแล้ว ถ้าจิตมันใช้พลังงานออกไปเห็นภาพนิมิตต่างๆ แล้วเราก็ดีใจ เสียใจไปกับภาพนิมิตนั้น นี่พลังงานนี้ใช้ออกไป จิตมันก็ต้องเสื่อมลงๆ เป็นธรรมดา นี้เพราะจิตของเรา เพราะเรามีอวิชชาในหัวใจ แต่ของครูบาอาจารย์ท่าน ท่านไม่มีอวิชชา สิ่งที่ไม่มีอวิชชาคือจิตของท่านเป็นปกติ จิตของท่านเป็นปกติของท่านตลอดไป จิตของท่านนะ

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส”

ในเมื่อข้ามพ้นกิเลสแล้ว จิตของท่านยังมีอยู่อีกหรือ?

จิตของท่านนี้เป็นสมมุติ สิ่งที่สมมุติเรียกกันว่า “จิตของท่าน” ถ้าเราไม่มีสมมุติว่าจิตของท่าน เราจะเอาอะไรมาสมมุติกัน

แต่ถ้าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลสไปแล้ว จิตก็ไม่มี สิ่งที่ในโลกนี้มี เพราะสิ่งที่เป็นวัตถุจับต้องได้มี แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่มันไม่มีนั้นคือมี มีเพราะมันไม่มี แต่มันมี มันมีเพราะมันสิ่งที่ยังมี สอุปาทิเสสนิพพาน ในเมื่อชำระสิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาทะยานอยากของใจออกไปทั้งหมดแล้ว สิ่งนี้มีอยู่แต่ไม่มีในสมมุติ ไม่สมมุตินี้คาดหมายสิ่งนี้ไม่ได้เลย คาดหมายไม่ได้เพราะสิ่งนี้เป็นสมมุติ สิ่งนี้เป็นสมมุติเราก็พูดกันโดยสมมุติ

แต่ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมตั้งแต่โคนต้นโพธิ์นะ วางบัญญัตินี้ไว้ ธรรมวินัยนี้ก็ให้สมมุติ ให้พวกปุถุชนของเรานี่ก้าวเดิน ถ้าปุถุชนของเราก้าวเดินไปตามสมมุติบัญญัติ สมมุติบัญญัติอันนี้เป็นธรรมและวินัย แล้วเรากราบธรรมและวินัย เราเชื่อธรรมและวินัย เห็นไหม ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ถ้าเราไม่มีจุดเริ่มต้น เราไม่มีสิ่งต่างๆ ที่ก้าวเดินไป เราไม่มีถนนหนทาง เราไม่มีมรรคปฏิปทาเครื่องดำเนิน แล้วเราจะเอาอะไรไปก้าวเดิน สิ่งนี้เป็นสมมุติ

จิตของท่านพ้นจากกิเลส มันถึงไม่มีสมมุติทั้งหมด แต่ในเมื่อยังมีธาตุขันธ์อยู่ มีธาตุคือยังมีชีวิตอยู่ ขันธ์คือจิตดวงนั้นอาศัยสิ่งนี้ดำรงธาตุขันธ์ อยู่ด้วยวิหารธรรม รอแต่กาลเวลา เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาชำระกิเลส เหมือนเช่นอาจารย์จวน ท่านชำระกิเลสของท่านจนหมด แล้วท่านยังเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับโลก ประโยชน์กับโลกนะ แม้แต่โลกวิญญาณเขายังได้ผลประโยชน์จากท่าน สิ่งที่เป็นจิตวิญญาณนะ ครูบาอาจารย์ของเราเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่ว่าจิตวิญญาณพวกเทวดา อินทร์ พรหม เขาเห็นสิ่งนี้นะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ ทำไมเทวดาส่งข่าวขึ้นไปเป็นชั้นๆ ล่ะ? เพราะเขาดีใจกับสิ่งนี้ไง เขาดีใจว่าธรรมเกิดแล้ว ธรรมเกิดแล้ว ธรรมโอสถเกิดขึ้นมาแล้ว เขาจะได้มีโอกาส เห็นไหม เขาได้มีโอกาสนะ ถ้าเขามีศรัทธาความเชื่ออย่างเรานี้นะ นี่ที่ว่าเรามีศรัทธาและความเชื่อ สิ่งนี้ทำให้เราออกมาประพฤติปฏิบัติ ทำให้เรามาค้นคว้าสิ่งที่ว่า ชีวิตนี้คืออะไร แล้วชีวิตนี้อยู่ที่ไหน พอสิ่งที่ว่าชีวิตอยู่ที่ไหนน่ะ จนจิตนี้ตั้งมั่น จนจิตนี้ออกมาทำงานนะ

สัตว์ เทวดา อินทร์ พรหม ก็เหมือนกัน ถ้าเขามีศรัทธา เขามีความเชื่อของเขา เขาจะหาไง เขาจะมาฟังธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาจะมาฟังธรรมของครูบาอาจารย์เราเพื่ออะไร? เพื่อจะรู้อริยสัจ อริยสัจคือสัจจะความจริง แต่สิ่งที่เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันสมมุติทั้งนั้น เพราะมันเป็นวาระ เขาสร้างบุญกุศล เขาทำคุณงามความดีของเขา

แล้วในเทวดา สิ่งต่างๆ ก็มีวุฒิภาวะต่างกัน เห็นไหม เทวดาที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เทวดาที่ว่าที่มีบุญน้อย ก็เกิดในเทวดาชั้นเดียวกัน สิ่งที่สร้างสมมามันก็ต่างกัน แล้วสิ่งต่างๆ ในชั้นนั้นก็ต่างกัน แล้วก็เพลิน ถ้าเพลินไปนะ เพลินไปในภพชาตินั้น ก็ไม่มาฟังธรรมไง แต่ถ้าไม่เพลิน เห็นไหม มีศรัทธา นี่ศรัทธาตัวนี้สำคัญมากเลย ถ้ามีศรัทธาจะชักสิ่งนั้นเข้ามา แล้วถ้าเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ที่เขาเคยประพฤติปฏิบัติ อย่างนางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน แล้วตายจากนางวิสาขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เป็นเทวดา อินทร์ พรหมที่เป็นอริยเจ้าก็มี เป็นเทวดา อินทร์ พรหมที่เป็นปุถุชนก็มี สิ่งนี้วัฏฏะมีเคลื่อนไปกับใจ แล้วใจเราล่ะ ใจเรามีพื้นฐานเป็นอย่างไร ถ้าใจเราไม่มีพื้นฐาน เราไม่มีอำนาจวาสนา เราอยากจะประพฤติปฏิบัติไหม ถ้าเราอยากประพฤติปฏิบัติ สิ่งนี้มันจะเป็นปัญญาใคร่ครวญจิตของเรา ถ้าสิ่งนี้ปัญญาใคร่ครวญจิตของเรา ถ้าเป็นธรรมะภายนอก เราก็ยังต้องล้มลุกคลุกคลานไป สิ่งที่จะล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน เพราะสิ่งนี้มันเป็นหน้าที่ และมันเป็นการงานของเรา เป็นหน้าที่นะ

เราพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราพบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนธรรมคำสั่งสอน คำสั่งสอนนะ คำสั่ง คำสอน สอนนะ สอนเข้ามาให้สะสมขึ้นมาในหัวใจของเรา สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอน ถ้าเราไม่พัฒนาของเราขึ้นมา คำสั่งคำสอนนั้นจะเป็นประโยชน์กับเราไหม

ถ้าคำสั่งคำสอนจะเป็นประโยชน์กับเรา เพราะอะไรถึงเป็นประโยชน์กับเราล่ะ เพราะเราเชื่อไง เพราะเราศรัทธา เราเชื่อ เราศรัทธา ศรัทธามาจากไหน? ศรัทธามาจากจริตนิสัย ศรัทธามันเกิดจากสิ่งที่เรามีความทุกข์ในหัวใจ สิ่งนี้มันสะเทือนหัวใจนะ ถ้ายังมีความทุกข์อยู่ พลังงานมีอยู่นะ พลังงานสิ่งนี้มันแสดงตัวตลอด พลังงานมันแสดงตัว พลังงานที่มันใช้งานไป มันต้องมีพลังงานของมัน

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อจิตที่มันเศร้าหมอง จิตที่มันผ่องใส แม้แต่สิ่งที่ว่ามันเป็นไฟสุมขอน มันก็ยังเป็นความเศร้าหมองผ่องใสในหัวใจ ทั้งๆ ที่มีความสุขมาก มันปล่อยกายเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามานะ แล้วมันก็ไปอยู่ที่ว่า จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส แต่สิ่งที่ผ่องใส มันต้องรักษา ต้องมีสตินะ เห็นไหม มันมีการประกอบ มันมีหน้าที่การงาน แต่ถ้าวิปัสสนาไปจนถึงที่สุด ตัวภวาสวะ ตัวภพ ทำลายตัวนี้แล้วนะ มันจะเอาอะไรมาผ่องใส สิ่งที่ผ่องใสคู่กับเศร้าหมอง สิ่งที่ต้องรักษา รักษาเพราะอะไร เพราะมันมีจิตรักษาใช่ไหม

แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว มีเหมือนไม่มี มันไม่มีของมันหรอก มันเป็นสภาวะแบบนั้น แต่มันพร้อมนะ มันเป็นอัตโนมัติทั้งหมดเลย เคลื่อนไปไหวไป พร้อมกับสิ่งที่เกิดสติสัมปชัญญะตลอด ถ้าเป็นประโยชน์ก็จะใช้จะเป็นการงานออกมา

ไม่เป็นประโยชน์ เห็นไหม ใจเขา ใจเรา มันเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งนี้โลกเป็นธรรมดานะ มันเป็นธรรมชาติของเขา เรานะ เด็กมันไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เราเอาสิ่งที่ดีขนาดไหนไปให้เด็กคนนั้น เด็กคนนั้นเขาไม่เข้าใจ นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเขาไม่สนใจ โลกเขาเป็นแบบนั้น สิ่งที่โลกเขาเป็นแบบนั้นเพราะกรรมของเขา สายบุญสายกรรมไง ในเมื่อสายบุญสายกรรมเขาเป็นอย่างนั้น แล้วเราจะไปวิตกทุกข์ร้อนไปกับเขาทำไม

ถ้าเราไปวิตก ไปทุกข์ร้อนไปกับเขา ต้องถามตัวเองก่อนว่าเราสติดีหรือเปล่า ถ้าเราสติไม่ดี เราไปแบกเขาทำไม ถ้าเราสติดี เราจะย้อนกลับเข้ามาเลย มันเป็นหน้าที่อะไรของเรา ในเมื่อเป็นกรรมของสัตว์ สัตว์มันมีความคิดอย่างนั้น ในเมื่อสิ่งที่ในหัวใจเขาปิดกั้นของเขาขนาดนั้น เรามีหน้าที่อะไร หน้าที่ของเราก็ดูใจของเรา นี่มันจะย้อนกลับมาดูที่เรา แล้วประพฤติปฏิบัติ เวลาที่จะเป็นธรรมะภายใน มันจะเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่คิด ไม่มีสติสัมปชัญญะอย่างนี้ ออกไปรับรู้สิ่งต่างๆ มันเป็นธรรมะจากภายนอก

ธรรมะภายนอกเป็นธรรมะของพระโพธิสัตว์ เป็นการรื้อสัตว์ขนสัตว์ เป็นการช่วยเหลือเจือจาน นั้นเป็นของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์กับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างกัน พระโพธิสัตว์เป็นฌานโลกีย์ สิ่งที่เป็นฌานโลกีย์ สะสมขึ้นมา มันจะมีพลังงานของมัน ถ้ามีพลังงานของมัน มันจะไปรู้ นี่ธรรมะภายนอกไง จะไปรู้นะ เห็นจิตเกิด เห็นจิตดับ เห็นสิ่งที่ไปที่มาของใจ จะรู้จริตนิสัย สร้างสมกันขึ้นมา นั้นเป็นธรรมของหัวหน้า เป็นธรรมของการสร้างสม เป็นการสร้างสมบารมี

แต่ถ้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าสร้างสมขึ้นไป มันจะเป็นสายยาวเหยียดไป เพื่อเราจะไปถึงเป้าหมาย แต่ในปัจจุบันนี้เป้าหมายมีอยู่แล้ว เป้าหมายคือ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว ธรรมโอสถมันมีอยู่แล้ว มันอยู่เคียงข้างใจเรานี่ มันมีอยู่แล้ว มันมีเคียงข้างใจอยู่แล้ว แล้วเราจะเอามุ่งไปข้างหน้า จะไปหาข้างหน้า นั่นเราคิดถูกไหม ถ้าเราคิด เรามีสติสัมปชัญญะย้อนกลับมา ย้อนกลับมา หน้าที่ของเรา ดูใจของเรา แล้วชนะใจของเรา จากเป็นธรรมภายนอกจะเป็นธรรมภายใน

ธรรมภายในจะชำระกิเลสจากภายใน ธรรมภายนอกเป็นการสร้างสม เป็นการสร้างสมออกมาจากภายนอก ออกจากภายนอกมันก็เป็นเรื่องของสังคมโลกไป เวลาพระออกธุดงค์ ถึงว่าไปแบบนอแรดไง ถ้าเราไม่ออกไปนอแรด เราไม่ออกไปประพฤติปฏิบัติ เราไม่ออกไปเพื่อจะสร้างสมให้เรายืนตัวของเรามาได้ เราจะเป็นที่พึ่งของใคร

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เขาบอก ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วถ้าตนไม่สะสมใจ ตนไม่รักษาใจของตัวเอง แล้วใครจะมาเป็นที่พึ่งให้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมโอสถ สิ่งที่ธรรมโอสถ สิ่งที่เป็นศาสนธรรม ต้องรื้อค้นนะ ถ้าไม่รื้อค้น ไม่ประพฤติปฏิบัติ ไม่มีการประพฤติ ไม่มีการกระทำของใจขึ้นมา ใจมันจะเปิดสิ่งที่เป็นอวิชชาออกไปได้อย่างไร

สิ่งที่เป็นอวิชชา นี่บ้าน บ้านของเรา ทุกคน เวลาทางนักการเมืองเขาพูด ให้กวาดบ้านของตัวเองให้เรียบร้อยก่อน นี่เราไปดูแต่บ้านคนอื่นนะ เราจะไปช่วยเหลือเขา เหมือนกับเดี๋ยวนี้ สิ่งที่ว่า เขาเป็นผู้ที่ว่าช่วยเหลือเจือจานกัน เขาจะไปช่วยเหลือคนอื่น แต่ทำไมไม่กวาดบ้านของตัวเอง ถ้าเรากวาดบ้านของตัวเอง เราทำหัวใจของเราให้ผ่องแผ้ว เราทำหัวใจของเราให้สิ้นสุดกระบวนการของการขับเคลื่อน แล้วจะไม่มีความทุกข์จากภายในนะ

ที่ว่า “ในสโมสรสันนิบาต ทุกดวงใจว้าเหว่”

มันจะไม่มีความว้าเหว่ในดวงใจไง ความว้าเหว่ไม่มี ความทุกข์จากภายนอกนะ ความทุกข์จากอาการของใจ สิ่งที่อาการของใจคือการแบกหามภาระที่ทุกคนก็เห็น ความคิดนี่พูดกันง่ายๆ เลย ทุกคนมีความคิดวิตกวิจารณ์ แต่ความทุกข์จากภายในที่ตัวจิต ตัวจิตที่มันไม่ต้องคิดแล้วมันเศร้าหมองนี่ สิ่งนี้มันจะเข้าไปชำระล้าง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดขนาดนั้นนะ

อาการของใจกับใจต่างกัน แล้วเวลาพิจารณาไป เวลาพิจารณากายจากภายนอก กายใน มันก็อาการของใจนี่แหละ แต่มันมีสติ มันสมาธิเข้ามาแบ่งแยก มันถึงเป็นโลกุตตรธรรม แต่ถ้าไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ มันเป็นโลกียธรรม โลกียธรรมคือธรรมภายนอกล้วนๆ เลย แล้วมันก็จะพัฒนาขึ้นมา ธรรมภายนอกกับธรรมภายในอยู่ที่การแบ่งแยกของสมาธิกับสติ ถ้าสมาธิกับสติดี มันจะเป็นธรรมภายในเข้ามา แล้วต้องมีผู้ชี้นำ ถ้าไม่มีผู้ชี้นำ กิเลสมันจะสวมรอยว่าธรรมภายนอกมันคือธรรมของเรา

ในการประพฤติปฏิบัติอยู่ปัจจุบันนี้ เป็นสิ่งที่เป็นภายนอกแล้วคิดพิจารณาภายนอกแล้วปล่อยวางขึ้นมา สร้างภาพนะ นี่สัญญาอารมณ์สร้างภาพ เห็นสภาวะกาย แล้วก็ทำลายกายๆ ว่าเป็นสภาวะแบบนั้น เป็นธรรมภายนอกทั้งหมดเลย เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ชี้นำไง เพราะไม่มีการเตือนสติ ถ้าเราไม่ถามตัวเอง เราไม่เตือนสติของเราเอง แล้วเราจะพัฒนาของเราอย่างไร

ถ้าเราพัฒนาของเรา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ถ้าเราพึ่งครูบาอาจารย์นะ พูดมาจากภายนอก ครูบาอาจารย์เป็นคนชี้นำ สิ่งนี้ผิด สิ่งนี้ถูก แล้วกิเลสเราก็ไม่พอใจ เราก็เห็นของเราชัดเจน ทำไมท่านบอกไม่ใช่ ทำไมท่านพูดอย่างนั้น ทำไมท่านไม่เห็นเหมือนเราเลย กลับว่าเรานี่เก่งนะ เรานี่เห็นจริง อาจารย์นี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย อะไรก็ผิดๆ

ถ้าเป็นเราติเราเอง เราเห็นความบกพร่องของเรา เราเห็นความลังเลสงสัยของเรา นี่เราติเรานี่ยอดเยี่ยม สิ่งที่ยอดเยี่ยมเพราะอะไร เพราะเราเองติเราเอง เห็นไหม ครูบาอาจารย์ติด้วยความถูกต้อง ด้วยความเมตตานะ แต่กิเลสเรามันท่วมหัว มันไม่ยอมรับสิ่งความเป็นจริง แต่เวลามันติของเราเอง เพราะเรา ใครไม่รักเราเท่าเราหรอก เราเป็นคนที่รักเรามากที่สุด แล้วเราติเราได้ นี่การประพฤติปฏิบัติ บุคคลผู้นี้จะมีโอกาสก้าวหน้า

ถ้าติเราเอง แล้วเราพยายามตั้งกติกาของเราเอง เช่น เวลาเข้าพรรษา เราจะตั้งสัจจะว่าเราจะทำสิ่งใดบ้าง ทำสิ่งนี้เป็นหน้าที่ของเรา เห็นไหม ตั้งสัจจะ แล้วทำสัจจะของเราให้ได้ขึ้นมา นี่เราเป็นคนจริงขึ้นมา มันฝึกฝนขึ้นมาได้นะ แล้วถ้าเห็นผลนะ เห็นผล จิตมันเริ่มมีพัฒนาการของมันขึ้นมานะ เราจะภูมิใจมาก พอภูมิใจมาก การกระทำเราก็จะเพิ่มทับทวีขึ้นไป

สิ่งที่เพิ่มทับทวีขึ้นไป มันก็พัฒนาของมันขึ้นไป กายนอก กายใน กายในกาย กายของจิตจะเข้ากระบวนการของมันทั้งหมด นี้คือธรรมภายในไง แล้วจะเข้าใจว่าสิ่งที่กายนอก กายใน กายในกาย มันเป็นเพราะเหตุใดถึงเป็นกายนอก มันเป็นเพราะเหตุใดมันถึงเป็นกายใน มันเพราะเหตุใดถึงเป็นกายในจิต เพราะอะไร เพราะสิ่งที่มันขับเคลื่อนแล้วมันปล่อยวางมา มันมีความหยาบละเอียดไง มันมีมรรคญาณที่ต่างกัน มรรคผลต่างกัน ความหนักความเบาต่างกัน

มรรคหยาบ มรรคละเอียด ถึงเป็นมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ไง มรรค ๔ ผล ๔ นะ แต่โลกคิดว่ามรรคก็คืออันเดียว สิ่งที่มีอยู่แล้วเหมือนมีมีดอยู่เล่มหนึ่ง จะใช้งานประโยชน์ไปทั้งหมดเลย แต่ในโลกนี้เขามีแสงเลเซอร์ด้วยเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องใช้มีดหรอก แสงเลเซอร์ของเขา เขายิงได้ เขาทำได้ดีกว่ามหาศาลเลย เห็นไหม สิ่งที่พัฒนาของเขาขึ้นมาเป็นอย่างนั้น

จิตมันก็เหมือนกันนะ ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์ เราจะสวมรอยเอาเองว่า ความเห็นของเราถูกต้อง ความพัฒนาของเราถูกต้อง สิ่งที่ถูกต้อง นี้กิเลสพาทำ แต่ถ้าเป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โดยธรรม เราจะถามตัวเองไปทุกขั้นตอนเลย มันจะพิสูจน์นะ ปล่อยวางขนาดไหนมันก็จะรื้อค้น สิ่งที่มันถ้ายังมีลังเลสงสัย มีความเป็นไปของใจ รื้อต้องเจอ ของมีอยู่ เรารื้ออย่างไรก็เจอ สิ่งที่เป็นกิเลสในหัวใจ ถ้าเรามีสติ เราไม่มีความสะเพร่า เราต้องเห็นของเรา ถ้าเห็นของเรา พอเห็นของเรา เราจับของเราขึ้นมาได้ นั้นก็เป็นการงานต่อไปๆ มันปล่อยขนาดไหน ถ้ามันไม่ขาด มันมี ค้นมาก็เจอ แล้วซ้ำไปๆ ถึงที่สุดมันต้องถึงเป้าหมาย

เพราะในเมื่อมีการกระทำ ในเมื่อการกระทำมีอยู่ ความเป็นไปของเรามีอยู่ โอกาสของเรายังมีอยู่ เพราะมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เรายังไม่สิ้นใจ ถ้าสิ้นใจนะ มันหมดโอกาสเพราะอะไร เพราะขณะที่สิ้นใจ จิตมันเกิดแล้ว เกิดเป็นเทวดาก็ไปสถานะใหม่ เป็นคนใหม่ จิตดวงนั้นเป็นคนใหม่เพราะสถานะใหม่

แต่ถ้าในปัจจุบันนี้ เพราะความในชีวิตเราตั้งแต่เด็กจนปัจจุบันนี้ มันมีความคิดเป็นรากฐานเดียวกัน มันศรัทธาก็ศรัทธาเดียวกัน โอกาสเดียวกัน แต่ถ้าเกิดในชาติใหม่ มันเป็นบุคคลใหม่ แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ชี้นำ ถ้ายังมีจริตนิสัยอยู่ มันก็จะไปฟื้นฟูได้ ถ้าไม่มีจริตนิสัย มันเป็นสถานะใหม่ มันก็เหมือนกับพ้นออกไปจากโอกาสอันนี้ไง

ในเมื่อยังมีสติ ในเมื่อยังมีปัญญาของเราอยู่ เราต้องเตือนตัวเองตลอดไป ถ้าเตือนตัวเองเราจะพัฒนาจากธรรมนอกแล้วมาเป็นธรรมใน ถ้าไม่มีการพัฒนาจากธรรมนอก จะเป็นธรรมในเลยเป็นไปไม่ได้ มันต้องเป็นธรรมนอกเพราะอะไร เพราะในเมื่อเราเกิดมาอาการของใจมี คนเราเกิดมาเหมือนว่าสิ่งที่เรากางร่มออกไป ถ้าเราไม่หุบร่มเข้ามา ร่มหุบเข้ามาไม่ได้หรอก

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อความรู้สึกมันแผ่ออกไปทั้งหมดเลย ในเมื่อความรู้สึก ธรรมชาติของมนุษย์มันแผ่ความคิดออกไปอย่างนั้น แล้วเราไม่หุบร่มเข้ามา คือไม่ดึงความรู้สึกเข้ามา มันจะเป็นสมาธิได้อย่างไร มันเป็นสมาธิไม่ได้ มันก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญาไม่ได้ มันก็เป็นมรรคไม่ได้ ถ้าเรามีสมาธิขึ้นมา มันต้องหุบร่มเข้ามาเพื่อหุบความรู้สึกของเราเข้ามา มันถึงต้องเป็นธรรมภายนอกก่อน แล้วถ้าเรามีการพัฒนาการ มันก็จะเป็นธรรมภายใน

ถ้ามันไม่มีการพัฒนาการของมันขึ้นมา ถึงบอก ถ้าธรรมนอกมันก็เป็นส่วนหนึ่ง มันถึงเป็นของคู่กัน ถ้ามันมีหัวใจอยู่ ธรรมนอกก็ต้องเป็นธรรมนอกไป แล้วถ้าเป็นธรรมใน มันจะชำระกิเลส มันจะฟื้นฟู ฟื้นฟูธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมเจริญอยู่ที่หัวใจของสัตว์โลกไง ถ้าในสัตว์โลกมีธรรมในหัวใจนะ มันเหมือนกับผู้ที่เป็นหมอ เขาต้องศึกษาจนจบเป็นหมอมา แล้วเขาถึงสามารถรักษาคนไข้ได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีธรรมในหัวใจ เรารู้ เราศึกษาธรรมของเรา เราศึกษากิเลสเป็นเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ แล้วธรรมมันผ่าตัด มันทำลายจนกิเลสนี้ออกไปจากใจ มันก็เหมือนหมอที่เขาเรียนจบมา หมอเรียนจบมา เขาเรียนจบมาเป็นวิชาชีพนะ แต่ถ้าในประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เราเรียนจบ เรียนจบคือเรียนจบ สมมุติจบแล้วไง ถ้าเรียนสมมุติจบ เรียนโลกจบ มันเป็นธรรมในหัวใจล้วนๆ นะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข อยู่ที่โคนต้นโพธิ์ ๗ วันก่อน แล้วเคลื่อนไป ๗ วัน ๗ วันตลอด นี่วิมุตติสุขในหัวใจของเรา ถ้ากิเลสมันชำระล้างจนใจผ่องแผ้ว ลองถามตัวเองว่าความสุขที่เป็นวิมุตติสุขมันมีรสชาติอย่างไรไง ในหัวใจ รสชาติของวิมุตติสุข สุขที่ไม่มีในขันธ์ ไม่ใช่เวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา สิ่งที่สุขเวทนา ทุกขเวทนาเป็นทุกข์ของโลก แต่สุขโดยวิมุตติมันไม่มีขันธ์ มันไม่มีเวทนา มันสุขของมันในตัวของมันเอง สิ่งนี้มันจะเกิดจากผู้ที่ก้าวเดินไปจากธรรมนอก ธรรมใน แล้วถึงที่สุด พ้นจากทุกข์ทั้งหมด เอวัง